fbpx
Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

สรุปดราม่าธนาคารยักษ์ใหญ่พัวพันการ”ฟอกเงิน”ที่ทำให้หุ้นธนาคารทั่วโลกดิ่งลงเหว

JPMorgan, HSBC และ Westpac 3 ธนาคารชั้นนำของโลกกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลังจากมีเรื่องฉาวโฉ่ทางการเงินเกิดขึ้น โดย JPMorgan ถูกกำหนดให้จ่าย 1 พันล้านดอลลาร์ในโทษฐานการฉ้อโกงตลาด ส่วน HSBC สูญเสียมูลค่าไปแล้วกว่า 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปีนี้

บทสรุปที่เป็นไปได้สำหรับข้อยุติในสิ่งที่พวกเขาถูกกล่าวหา จะประกาศออกมาในเร็ว ๆ นี้ (คาดว่าภายในสัปดาห์นี้) แม้ว่ารายละเอียดยังไม่ได้รับการสรุปในปัจจุบัน

ข้อตกลงดังกล่าวจะยุติการสอบสวนโดยกระทรวงยุติธรรม (The Justice Department) รวมถึงคณะกรรมการด้านการซื้อขายสินค้าในตลาด Futures ( the Commodity Futures Trading Commission : CFTC) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (the Securities and Exchange Commission : SEC) ว่านักเก็งกำไรในตลาดโลหะมีค่าและพันธบัตรของ JPMorgan มีการปั่นตลาดหรือไม่

บทลงโทษที่มีมูลค่าราว 1 พันล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงกว่าค่าปรับที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในก่อนหน้านี้ของพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นไปตามมาตรการคว่ำบาตรในหลาย ๆ กรณีที่มีการจัดการไปก่อนหน้านี้ รวมถึงบางกรณีก็เคยนำไปใช้กับภาคธนาคารเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากข้อกล่าวหาว่ามีการปั่นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานและตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex)

โดยทั่วไปแล้วนั้น การฉ้อโกงจะเกี่ยวข้องกับการเข้าออเดอร์ซ้ำ ๆ ในตลาดอนุพันธ์ (derivatives markets) ด้วย Lot Size ขนาดใหญ่ที่สวนทางกับ Traders ทั่วไป เพื่อหลอกล่อผู้อื่นให้เคลื่อนไหวในทิศทางที่พวกเขาต้องการ

การปฏิบัติดังกล่าว ได้กลายมาเป็นจุดสนใจสำหรับอัยการและหน่วยงานกำกับดูแลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกคำสั่งห้ามการกระทำเช่นนั้น โดยเฉพาะในปี 2010 แม้ว่าโดยปกติแล้วการส่งและยกเลิกคำสั่งซื้ออย่างรวดเร็วนั้น สามารถบอกได้ 2 แง่คือทั้งผิดและไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากการกระทำเช่นนี้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การซื้อขาย ส่วนในอีกแง่หนึ่งคือการกระทำที่มีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงผู้ค้ารายอื่น

ปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้ว่า JPMorgan จะต้องเผชิญกับบทลงโทษของกระทรวงยุติธรรมเพิ่มเติมในศาลหรือไม่ ส่วนการฉ้อโกงหลายกรณีในก่อนหน้านี้ ก็ได้รับการแก้ไขไปแล้ว โดยที่ไม่มีธนาคารหรือบริษัทการค้าใดรับสารภาพในข้อหาทางอาญา

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้วอัยการได้มีการยื่นฟ้อง Trader ของ JPMorgan หลายคนด้วยกัน เนื่องจากพวกเขาพยายามกดดันราคาในตลาดโลหะมีค่า โดยอัยการกล่าวว่าเป็นลักษณะของการดำเนินการในองค์กรที่ผิดกฎหมาย ภายในธนาคารตลอดเวลาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา

แต่ถึงกระนั้น การยุติการสอบสวนในครั้งนี้ของรัฐบาลกับ JPMorgan คาดว่าจะไม่ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด และคาดว่า JPMorgan จะยอมรับการกระทำผิด

การยุติข้อตกลงของรัฐบาลกับ JPMorgan ไม่คาดว่าจะส่งผลให้เกิดข้อ จำกัด ในการดำเนินธุรกิจ แต่อย่างใดบุคคลหนึ่งที่คุ้นเคยกับการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่และธนาคารกล่าว คาดว่า JPMorgan จะยอมรับการกระทำผิดของพวกเขา

โฆษกของกระทรวงยุติธรรม, CFTC, SEC และ JPMorgan ทั้งหมดปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ในปี 2558 JPMorgan เป็น 1 ในบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่ามีการปั่นสกุลเงิน และได้รับสารภาพในข้อหาการผูกขาดตลาดพร้อมกับการจ่ายค่าปรับ 550 ล้านดอลลาร์ให้กับกระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ธนาคารยังจ่ายค่าปรับให้กับหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ ของสหรัฐฯ

คดีปลอมแปลงของ JPMorgan ที่ยื่นฟ้องเมื่อปีที่แล้วกับพนักงานหลายคนรวมถึงอดีตหัวหน้าแผนกโลหะมีค่า Michael Nowak กำลังรอดำเนินการตามข้อกล่าวหาทางอาญา ซึ่งในตอนนั้นกระทรวงยุติธรรมได้ใช้กฎหมายฉ้อโกงที่ใช้กันทั่วไปในการฟ้องร้องแก๊งมาเฟียและแก๊งยา โดยอ้างว่าการดำเนินงานเกี่ยวกับโลหะมีค่าของพวกเขาได้กลายเป็นองค์กรอาชญากรรม(ทางด้านการเงิน) มา 8 ปีแล้ว

Nowak และ Trader อีก 3 คนที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ อ้างว่าพวกเขาไม่มีความผิดและกำลังพยายามให้มีการยกเลิกข้อหา ส่วนอดีต Trader อีก 2 คนได้สารภาพผิดต่อข้อกล่าวหาในการสมคบคิดและกำลังให้ความร่วมมือกับขบวนการยุติธรรม

การปราบปรามการฉ้อโกง ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอัยการและหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ เนื่องจากสภาคองเกรสได้ออกกฎหมายผ่านพระราชบัญญัติ Dodd-Frank เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีความกังวลว่าการกระทำอย่างเช่น JPMorgan นี้ได้แพร่หลายออกไปในยุคของการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะผู้ซื้อขายในตลาดที่ใช้ช่องโหว่ทาง Computer algorithms ในการเทรดเพื่อส่งคำสั่งซื้อขายปลอมจำนวนมากเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ ไม่เป็นไปตามความจริง

การพิจารณาคดีในประเด็นนี้ของศาลเมื่อปีที่แล้ว ได้ปูทางให้อัยการเริ่มต้นตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายย้อนหลังไปกว่าทศวรรษ

บุคคลและบริษัท มากกว่า 12 แห่งถูกคว่ำบาตรโดยกระทรวงยุติธรรมและ CFTC ซึ่งรวมถึง Trader ส่วนตัวบางคนที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูงและซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างเช่น Bank of America Corp. และ Deutsche Bank AG

เมื่อเดือนที่แล้ว Bank of Nova Scotia ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวน 127.4 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติข้อกล่าวหาของสหรัฐว่า บริษัทมีส่วนร่วมในการฉ้อโกงสัญญาซื้อขาย Futures ในตลาด ทองคำและ Silver รวมถึงข้อหาที่ให้การเท็จต่อรัฐบาล ซึ่งธนาคารเองก็ยอมรับการกระทำผิดของพวกเขา

ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นที่ร่วงลงของ HSBC Holdings Plc กำลังทดสอบความอดทนของผู้ถือหุ้นทุนคน โดยไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนที่ภักดีที่สุดของธนาคาร

Choi Chen Po-sum อดีตรองประธานฝ่ายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ของฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น HSBC มากว่า 40 ปี ล่าสุดได้เรียกการลงทุนของเธอว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

Simon Yuen ผู้จัดการด้านเงินที่ไม่สามารถกล่อมให้ธนาคารคืนสถานะเงินปันผลได้สำเร็จ กล่าวว่าการตกต่ำของหุ้นสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 25 ปีอาจต้องดำเนินต่อไป

Ping An Insurance Group Co. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ HSBC ก็ได้ละเลยโอกาสในการแสดงความเชื่อมั่นต่อธนาคารในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกล่าวเพียงว่าการถือครองหุ้นของ HSBC ของพวกเขาคือการลงทุนที่หวังผลในระยะยาว

คำตอบดังกล่าว ได้ตอกย้ำถึงความไม่พอใจอย่างมากของนักลงทุนที่มีต่อ HSBC ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นร่วงลงเร็วกว่าบริษัททางการเงินรายใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

แม้ในอดีตนักวิเคราะห์ด้านการขายจะมองว่าบริษัทมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันพวกเขาเริ่มหันมามองว่านี่คือตลาดขาลง ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการสูญเสียเงินกู้ และความสามารถในการรับมือกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

มูลค่าหุ้นในตลาดฮ่องกงของ HSBC ยังคงร่วงลงมากถึง 2.6% ณ เวลา 11:15 น. ของวันนี้ และโดยรวมแล้วหุ้นร่วงลงมากกว่า 9% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้การลดลงตลอดปีอยู่ที่ 54% นอกจากนี้ยังเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดในดัชนีมาตรฐาน Hang Seng

ส่วนในตลาดหุ้นลอนดอน มูลค่าหุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 51% หลังจากสูญเสียมูลค่าไปถึง 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งทำให้ HSBC มีขนาดเล็กกว่า Commonwealth Bank of Australia ไปแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ และยังอยู่ในช่วงรั้งท้ายคู่แข่งรายสำคัญอื่น ๆ อย่างเช่น Citigroup Inc.

ส่วน Ping An ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน HSBC ตั้งแต่ปลายปี 2017 ก็ได้มีมูลค่าร่วงลงอย่างน้อย 8.6 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg

“ความรุนแรงของการตกต่ำของ HSBC กำลังหมายความว่าแม้แต่นักลงทุนระยะยาวก็เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในบริษัท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีอย่างแน่นอน” Benny Lee ผู้อำนวยการของ Plotio Financial Group Ltd. กล่าว

HSBC ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ความท้อแท้ที่เพิ่มขึ้นในฮ่องกงพร้อมกับแนวโน้มการทรุดตัวของธนาคาร เกิดขึ้นหลังจากเมื่อต้นปีนี้ กลุ่มธนาคารที่อยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับดูแลของอังกฤษ ได้ถูกบังคับให้ยกเลิกการจ่ายเงินปันผล ทำให้เกิดความโกลาหลนักลงทุนรายย่อยภายในเมือง นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งของ HSBC กับประเทศจีน สำหรับการที่พวกเขามีส่วนร่วมในการสอบสวน Huawei Technologies Co. ในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ความกังวลว่าการขยายตัวของธนาคารในจีนจะหยุดชะงักลงก็ได้เพิ่มมากขึ้น หลังจาก Global Times ซึ่งเป็นสื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า HSBC อาจมีรายชื่ออยู่ใน “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” และบทลงโทษสำหรับบริษัทที่ปรากฏในรายการดังกล่าว คือข้อจำกัดด้านการค้า การลงทุน และวีซ่า ขณะที่ HSBC ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน

นักวิเคราะห์ของ Citigroup นำโดย Yafei Tian กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า

“หากพวกเขาอยู่ในรายชื่อ แม้ว่าจะไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวด แต่ธุรกิจของ HSBC ในจีนแผ่นดินใหญ่ก็น่าจะได้รับผลกระทบในทางลบ เนื่องจากลูกค้าจะลดการทำธุรกรรมลง นอกจากนี้ ลูกค้าในฮ่องกงก็อาจหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่ไม่จำเป็นกับ HSBC และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด HSBC อาจถูกบังคับให้เพิกถอนการลงทุนทั้งหมดในจีนแผ่นดินใหญ่”

เมื่อเดือนที่แล้ว Noel Quinn ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HSBC ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคต พร้อมกับการรายงานว่าผลกำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 ลดลงถึง 50% และการคาดการณ์การสูญเสียเงินกู้อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้

นอกจากนี้ Quinn กล่าวว่าธนาคารจะพยายามเร่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานทั่วโลก โดยจะเร่งการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เอเชียต่อไป เนื่องจากการดำเนินงานในยุโรปทำให้พวกเขาสูญเสียเงิน แม้นักลงทุนบางคนจะยังไม่มั่นใจว่าการกระทำเช่นนี้เพียงพอแล้ว

Yuen ผู้ก่อตั้งบริษัท Surich Asset Management กล่าวว่า

“ราคาหุ้นจะแทบไม่ฟื้นตัวเลยในระยะอันใกล้นี้ และยังมีช่องว่างให้ลดลงอีก แม้ว่าความรักของนักลงทุนชาวฮ่องกงที่มีต่อ HSBC ยังคงมีอยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่น่าปวดใจจริงๆ ในเวลาที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”

ทางฝั่งของ Westpac Banking Corp. จะจ่ายค่าปรับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (920 ล้านดอลลาร์) เพื่อยุติการตรวจสอบเรื่องการละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการทำลายล้างชื่อเสียงของธนาคารและทำให้ Brian Hartzer อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารต้องสูญเสียงานของเขา

ค่าปรับครั้งนี้ ถือเป็นค่าปรับที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เคยมีการเรียกเก็บจากบริษัทในออสเตรเลีย ซึ่งมากกว่าที่ Westpac ประมาณเอาไว้ 900 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (634 ล้านดอลลาร์) สำหรับบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้น และคิดเป็นเกือบ 2 เท่าของมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (493 ล้านดอลลาร์) ที่ Commonwealth Bank of Australia ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของพวกเขาจ่ายเพื่อยุติการตรวจสอบในข้อหาเดียวกันเมื่อปี 2018

หน่วยงานอาชญากรรมทางการเงินกล่าวในแถลงการณ์วันนี้ว่า สำหรับการบรรลุข้อตกลงนั้น Westpac ได้ยอมรับว่าพวกเขาทำการละเมิดกฏหมายเพิ่มเติมอีกประมาณ 76,000 ครั้งจากการฝ่าฝืนถึง 23 ล้านครั้งในเอกสารฟ้องร้องต้นฉบับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมถึงความล้มเหลวในการตรวจสอบลูกค้าสำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดเด็กและการประเมินความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ

ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นการปิดฉากเรื่องราวดราม่าตลอด 10 เดือนในประวัติศาสตร์ของธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย แต่ผลพวงของคดี และความกดดันของนักลงทุนที่รุนแรงทำให้ Hartzer ต้องลาออก และ Lindsay Maxsted ก็ได้เกษียณอายุก่อนกำหนดในฐานะประธานกรรมการของบริษัท

การสืบสวน ได้ทำให้ธนาคารได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง สำหรับการกระทำที่มีความเสี่ยง ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมถึงการขาดทักษะ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของพนักงาน ในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพต่อความเสี่ยง

ข้อตกลงดังกล่าวมาพร้อมกับการทำให้อุตสาหกรรมทางการเงินทั่วโลกตกอยู่ภายใต้ความสนใจอีกครั้ง หลังจากมีการรั่วไหลของเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าธุรกรรมทางการเงินตลอดหลายปีที่ถูกจัดการโดยกลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน การทุจริต และการฉ้อโกง

เรื่องราวของ Westpac ถือเป็นการส่งข้อความที่หนักแน่นว่าศูนย์รายงานและวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงินของออสเตรเลีย (Australian Transaction Reports and Analysis Centre : Austrac) จะต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเงินของประเทศยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถให้ประโยชน์แก่อาชญากรได้

Nicole Rose ซึ่งเป็น CEO ของหน่วยงานกำกับดูแลอาชญากรรมทางการเงินกล่าวว่า

“บทบาทของเราคือการทำให้ระบบการเงินของประเทศแข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อต้านอาชญากรรมที่ร้ายแรง และต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินให้แก่ผู้การก่อการร้าย ซึ่งบทลงโทษนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงการจัดการที่รุนแรงและเป็นระบบต่อการไม่ปฏิบัติตามกฏหมายของ Westpac”

หุ้นของ Westpac ลดลงมากถึง 2.4% ในการซื้อขายภาคเช้าของตลาด Sydney และโดยรวมแล้วลดลงถึง 34% ในปีนี้ทำให้มีผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดใน 4 ธนาคารยักา์ใหญ่ของออสเตรเลีย

ค่าปรับดังกล่าว เทียบเท่ากับกำไรเงินสดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 ที่ธนาคารสามารถหามาได้ โดยพวกเขาจะต้องใช้เงินสำรองอีก 404 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (284 ล้านดอลลาร์) และยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทางกฎหมายให้กับ Austrac อีกเป็นจำนวน 3.75 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (2.6 ล้านดอลลาร์)

Peter King ซึ่งเป็น 1 ในทีมบริหารของ Westpac ได้ออกขอโทษอีกครั้งสำหรับความล้มเหลวของธนาคารโดยกล่าวว่า

“เรามุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจว่าข้อผิดพลาดเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และนี่เป็นภารกิจที่สำคัญอันดับ 1 ของฉัน นอกจากนี้เรายังได้ระงับ ยกเลิก ละเพิกถอนผลิตภัณฑ์และรายงานธุรกรรมในอดีตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด”

References :
1.https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-23/jpmorgan-is-set-to-pay-1-billion-in-record-spoofing-penalty
2.https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-24/hsbc-loyalists-are-losing-faith-after-stock-s-83-billion-plunge
3.https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-23/westpac-pays-record-a-1-3-billion-fine-to-settle-laundering-suit

Leave a comment

เกี่ยวกับ SuperCryptoNews

สื่อชั้นนำด้านบล็อกเชนและคริปโตในภูมิภาคเอเชีย นำเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอย่างรอบด้านและเจาะลึก ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสิงคโปร์และประเทศไทย

สมัครรับข่าวสารจาก SCN