fbpx
Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Bitcoin Halving คืออะไร? เมื่อบิทคอยน์โดนหั่นครึ่ง

Bitcoin Halving คืออะไร? อธิบายให้ฟังหน่อย

ก่อนที่จะเราเข้าเรื่อง Bitcoin Halving ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าบิทคอยน์นั้นมีจำกัดและไม่สามารถพิมพ์ออกมาได้ง่าย ๆ เหมือนเงินกระดาษทั่วไป แต่จำต้องผ่านกระบวนการแข่งขันที่ใช้ทั้งเวลาและพลังงานประมวนผลอย่างมหาศาลในรูปแบบของ Proof-of-Work ที่เรียกกันว่า Mining หรือการขุด ซึ่งโดยปรกติแล้วทุก ๆ ครั้งที่นักขุด (Miner) ทำการค้นพบบล็อกใหม่ พวกเขาจะได้รับรางวัล (Block Reward) เป็นบิทคอยน์จำนวนหนึ่งเพื่อเป็นผลตอบแทน

โดยการเกิด Halving นี้ไม่ได้หมายความว่าบิทคอยน์ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบทั้งหมดจะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่เป็นบิทคอยน์เกิดใหม่จาก Block Reward ซึ่งเป็นรางวัลให้แก่นักขุดที่ช่วยกันดูแลระบบของบิทคอยน์ต่างหาก ซึ่งนาย Satoshi Nakamoto นั้นได้ออกแบบบิทคอยน์ไว้ให้มีจำนวนสูงสุดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ และทุก ๆ ครั้งที่มีการค้นพบบล็อกใหม่ครบ 210,000 บล็อก ระบบจะทำการลดรางวัล Block Reward ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งโดยปรกติแล้วบรรดานักขุดจะทำการสร้างบล็อกใหม่ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที เราจึงสามารถคำนวณได้คร่าว ๆ ว่าจะใช้เวลา 210,000 x 10 = 2.1 ล้านนาที หรือประมาณทุกๆ 4 ปีนั่นเอง

Image Source: www.bitcoinblockhalf.com

แบบนี้ก็แสดงว่าเคยมีเหตุการณ์ Halving มาก่อนแล้วใช่ไหม?

ทั้งนี้บิทคอยน์ผ่านการ Halving มาทั้งหมดแล้วสองครั้ง เริ่มแรกในปี 2009 นั้น รางวัลสำหรับนักขุดนั้นอยู่ที่ 50 BTC ต่อหนึ่งบล็อก โดย ณ ขณะนั้นบิทคอยน์ยังไม่เป็นที่นิยมนัก ราคาต่อ 1 BTC มีมูลค่าอยู่ที่ไม่กี่สตางค์ และการขุดก็ทำได้ง่ายๆโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านเท่านั้น โดยหลังจากการ Halving ครั้งแรกในปี 2012 รางวัลถูกลดลงเหลือ 25 BTC ต่อหนึ่งบล็อก และลดลงอีกครึ่งเหลือเพียง 12.5 BTC ต่อหนึ่งบล็อกในปี 2016 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นอัตรารางวัลที่นักขุดได้รับกันอยู่ ณ ปัจจุบัน โดยหลังจากการ Halving ครั้งที่สี่นี้ รางวัลจะลดลงไปอีก 50% เหลือเพียง 6.25 BTC ต่อหนึ่งบล็อกเท่านั้นเอง

แล้วการ Halving ครั้งนี้จะมีผลอะไรบ้าง?

มีการคาดการณ์ว่าการ Halving ครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ โดยจะมีเรื่องที่ได้ผลกระทบหลัก ๆ อยู่สามประการ

Image Source: hsbfactsheetlibrary.dupont.com

  1. ผลกระทบต่อราคา – การลดลงของรางวัล Block Rewards นั้นย่อมส่งผลในระยะยาวต่อราคาของบิทคอยน์ โดยปัจจัยหลักจะเป็นเรื่องของ Demand และ Supply ที่เปลี่ยนไป เพราะหากมีบิทคอยน์เกิดใหม่น้อยลงแล้วนั้น ย่อมแปลว่ามันหายากมากขึ้นและมีราคาสูงเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าราคามันจะพุ่งขึ้นถล่มถลายหลังการ Halving ทันที โดยการซึมซับทางราคานี้จะค่อยๆเป็นไปอย่างช้าๆ และราคามักจะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ (ATH) ได้หลังจากการ Halving ไปแล้วซักพักหนึ่งเสมอ ทั้งยังมีบางส่วนออกมาแย้งว่า เนื่องด้วยการ Halving นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป หลายๆคนในแวดวงรู้ว่า การ Halving นั้นจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นในภายหลัง จึงได้ทำการเข้าซื้อไปก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นก่อนเหตุการณ์ (Front-Running) นี่อาจเป็นคำอธิบายราคาของบิทคอยน์ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงกลางปีที่ผ่านมาถึง $14,000 ว่าเป็นเพียงการ Front Run ของนักลงทุนที่ตื่นเต้นในการมาของเหตุการณ์ Halving และราคาของบิทคอยน์อาจไม่ขยับปรับตัวขึ้นมากนักหลังการ Halving เกิดขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดกัน
  2. ผลกระทบต่อนักขุด – ตอนนี้ทุกคนอาจสงสัยว่า ถ้าบิทคอยน์หายากขึ้นและราคาก็เพิ่มขึ้นแบบนี้นักขุดก็รวยเละเลยสิท่า คำตอบคือทั้ง ใช่ และ ไม่ เพราะเมื่อบิทคอยน์ได้รับความนิยมและมีราคาที่สูงขึ้น มันก็ดึงดูดนักขุดหน้าใหม่ให้เข้ามามากขึ้นเช่นกัน เมื่อมีคนมาช่วยกันทำการตรวจสอบและแข่งกันหาบล็อกถัดไปมากขึ้น ทั้งยังใช้อุปกรณ์ที่มีพลังการประมวลผลดีกว่าเดิมมาใช้ ส่งผลให้กำลังการขุด (Hash Rate) สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ระบบของบิทคอยน์จะทำการปรับค่าความยากในการขุด (Difficulty Rate) ให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีบล็อกเกิดใหม่ขึ้นมาเร็วเกินไป และดูแลให้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาทีต่อบล็อกนั่นเอง โดยนักขุดที่สามารถทำการขุดได้โดยมีต้นทุนถูกนั้นไม่จำเป็นต้องขายบิทคอยน์ที่ได้มาในทันที แต่สามารถเก็บมานั้นมาขายในเวลาที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงหลังการ Halving ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้อย่างมาก แต่ในทางกลับกัน ก็มีนักขุดหลายรายถูกเล่นงานด้วยต้นทุนที่สูงประกอบกับค่าความยากที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกครั้งที่ได้บิทคอยน์มาก็ต้องขายออกไปเกือบเสียทั้งหมดเพื่อมาใช้จ่ายหักลบต้นทุน เมื่อมาเจอกับการ Halving ก็เท่ากับพวกเขามีรายได้ลดลงถึงครึ่งหนึ่งทันที ทำให้นักขุดบางส่วนไม่สามารถอยู่รอดได้และต้องยอมแพ้ถอดใจและถอดปลั๊กเครื่องขุดที่พวกเขามีเลยทีเดียว
  3. อัตราการเฟ้อของบิทคอยน์ – โดยปัจจุบันมีบิทคอยน์ออกมาใหม่จากรางวัล Block Reward ถึงวันละ 1,800 BTC ส่งผลให้มีอัตราการเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 3.8% ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หลังจากการ Halving ที่จะถึงนี้อัตราการเฟ้อจะลดลงเหลือเพียง 1.8% หรือมีบิทคอยน์เกิดใหม่เพียง 900 BTC ต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าค่าเงินของหลายๆประเทศในโลกนี้เสียอีก และหากเราพิจารณาว่า ในทุกๆวัน นักขุดส่วนใหญ่ต้องทำการขายบิทคอยน์เกือบทั้งหมดที่ได้มาแทบจะทันทีเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายและหักลบต้นทุนแต่เมื่อมีบิทคอยน์เกิดใหม่ขึ้นน้อยลง แรงเทขายจากเหล่านักขุดก็ย่อมลดลงด้วยเช่นกัน โดยประมาณการณ์ว่า หลังการ Halving จะมีแรงเทขายบิทคอยน์ลดลงถึงสัปดาห์ละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีเลยทีเดียว

คำถามที่หลายคนอาจสงสัย

  1. ถ้าบิทคอยน์มีจำกัดแต่มีบิทคอยน์เกิดใหม่เรื่อยๆทุกวัน แล้วบิทคอยน์เหรียญสุดท้ายจะถูกขุดออกมาเมื่อไหร่? – หากเราทำการคำนวณจากการ Halving ที่เกิดขึ้นทุกๆสี่ปีแล้ว อัตราการเกิดใหม่ของบิทคอยน์จะน้อยลงเรื่อยๆ จนเหรียญสุดท้ายที่สามารถทำการขุดได้จะออกมาในช่วงปี ค.ศ. 2140 หรืออีกร้อยกว่าปีนั่นเอง
  2. หลังจากบิทคอยน์เหรียญสุดท้ายถูกขุดออกมาแล้ว เหล่านักขุดจะได้กำไรจากไหน? – การขุดนั้นจำเป็นต่อการดูแลระบบและการสร้างบล็อกใหม่เพื่อทำการโอนและรับบิทคอยน์ ตราบใดที่บิทคอยน์ยังมีการใช้งานอยู่ เหล่านักขุดจะได้รางวัลจากค่าธรรมเนียมการโอน (Transaction Fee) ของผู้ที่ใช้บริการบิทคอยน์แทน
  3. ถ้าเหล่านักขุดเลิกขุดจะเป็นยังไง? – หากนักขุดส่วนใหญ่ไม่พบกำไรในการขุดบิทคอยน์และตัดสินใจถอดปลั๊กยอมแพ้ สิ่งที่จะตามมาคือค่าความยาก Difficulty Rate ของการขุดจะลดลง ทำให้นักขุดที่ยังเหลืออยู่สามารถสร้างบล็อกใหม่ได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ต้นทุนถูกลง และเมื่ออัตราการแข่งขันลดลง ย่อมเท่ากับพวกเขาจะสามารถเป็นผู้ชนะในการหาบล็อกและได้รางวัล Block Reward ง่ายขึ้นเช่นกัน

บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นโดยอัจฉริยะอย่างแท้จริง

บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีมูลค่าในตัวของมันเอง โดยมีกฎหลายๆอย่างกำหนดไว้ไม่ให้มันถูกผลิตออกมาได้ยากหรือง่ายจนเกินไป ทั้งยังมีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น (โลกนี้มีมหาเศรษฐีที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯถึง 48 ล้านคน นั่นหมายความว่ามหาเศรษฐีทุกคนไม่สามารถเป็นเจ้าของบิทคอยน์ได้เต็ม 1 เหรียญด้วยซ้ำ)

การ Halving ที่เกิดขึ้น ถูกออกแบบมาให้ควบคุมอัตราการเฟ้อของบิทคอยน์ให้เหมาะสมกับราคาที่เพิ่มขึ้นตามจำนวน Demand ของผู้ใช้ ทั้งระบบยังสามารถรักษาสมดุลได้ด้วยตัวของมันเองเป็นอย่างดี เหตุผลเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าให้กับบิทคอยน์ ผู้ซึ่งวันหนึ่งอาจกลายมาเป็นสกุลเงินในอนาคตของคนทั้งโลกได้อีกด้วย

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง: ที่เขาเรียกว่า “ขุด Bitcoin” คืออะไร?

Leave a comment

เกี่ยวกับ SuperCryptoNews

สื่อชั้นนำด้านบล็อกเชนและคริปโตในภูมิภาคเอเชีย นำเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอย่างรอบด้านและเจาะลึก ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสิงคโปร์และประเทศไทย

สมัครรับข่าวสารจาก SCN